ไขข้อสงสัย! “Hybrid Working” คืออะไร? สรุปครบ จบในที่เดียว

hybrid working

ไขข้อสงสัย! “Hybrid Working” คืออะไร? สรุปครบ จบในที่เดียว

hybrid working

ในช่วงเกือบสองปีที่ผ่านมาสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนในหลากหลายด้าน โดยเฉพาะวิถีชีวิตในโลกการทำงานที่เปลี่ยนไปอย่างมากทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

จากเดิมออฟฟิศเป็นสถานที่ทำงานในทุกวันของใครหลายๆคน แต่ปัจจุบันสามารถทำงานได้จากหลากหลายแห่ง จึงเกิดเป็นเทรนด์การทำงานรูปแบบ Hybrid Working ที่กำลังได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ล้วนมาพร้อมกับความท้าทาย และไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

‘Hybrid Working’ คืออะไร?

hybrid workplace model

ภาพจาก CBRE, Global

Hybrid Working คือ รูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ทั้งจากออฟฟิศ บ้าน Satelllite Office หรือจากที่ไหนก็ได้ (Remote Working) แทนที่การทำงานจะอยู่ในออฟฟิศเพียงแห่งเดียวเหมือนเมื่อก่อน เพื่อให้อิสระกับพนักงานได้มีทางเลือกในการทำงานมากขึ้น และเกิด Productivity สูงที่สุดภายใต้ นโยบาย Flexible Working Policy

ทำไม Hybrid Working ถึงได้รับความนิยม?

hybrid working survey

ภาพจาก Live by Asseco

บริษัทชั้นนำมากมายในต่างประเทศ อย่างเช่น Google, Dropbox, Uber หรือ Facebook ได้เริ่มปรับตัวมาเป็น Hybrid Working กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งองค์กรต่างๆในประเทศไทยเทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆเช่นเดียวกัน

แต่เมื่อเกิดการระบาด COVID-19 พนักงานทุกคนถูกบังคับให้ทำงานจากที่บ้าน เหลือเพียงคนที่จำเป็นต้องทำงานหลักในออฟฟิศ ซึ่งพิสูจน์ให้หลายองค์กรเห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่า แผนกใดสามารถทำงานแบบ Remote Working ได้ หรือแผนกใดสามารถทำงานจากที่บ้านในบางวัน

ซึ่งการทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) นั้นก็มีข้อดีอยู่หลายส่วน หลายองค์กรจึงหันมาพิจารณาปรับรูปแบบ Hybrid Working มากยิ่งขึ้น โดยดึงจุดเด่นของทั้งการทำงานจากที่บ้านและออฟฟิศเข้าด้วยกันออฟฟิศจะกลายเป็นสถานที่สำคัญสำหรับการทำงานร่วมกัน การประชุมร่วมกันระหว่างแผนก หรือการวางแผนงานต่างๆที่ต้องการไอเดียที่หลากหลาย เป็นต้น

องค์กรต่างๆ ได้เริ่มวางแผนกลยุทธ์แบบ Hybrid Working ทั้งในระยะสั้น อย่างเช่น การวางแผนในการกลับเข้ามาทำงาน (Return to Work) และสำหรับระยะยาวที่ตอบสนองความต้องการของพนักงานและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน

รูปแบบของการทำงานแบบ Hybrid

การทำงานแบบ Hybrid Working มีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเป้าหมายของแต่ละองค์กร เราจึงนำตัวอย่างรูปแบบการทำงานบางส่วนที่พบบ่อยที่สุด

1. พนักงานมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงาน

ในบางองค์กร พนักงานนั้นมีอิสระในการตัดสินใจสำหรับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเมื่อใดก็ได้ 

เมื่อมีการทำงานในลักษณะนี้ทำให้องค์กรนั้นสามารถลดพื้นที่โต๊ะทำงานประจำลงแล้วเปลี่ยนมาเป็นโต๊ะทำงานส่วนกลางมากขึ้น ( Hot Desk ) เพื่อให้พนักงานสามารถที่จะเลือกสถานที่ทำงานได้อย่างอิสระ และเป็นการช่วยลดพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นได้

กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีหากพนักงานนั้นมีระบบที่สามารถจองโต๊ะในวันที่ต้องการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ ทำให้สามารถจองโต๊ะส่วนกลางเป็นไปอย่างมีระบบ ในขณะที่ด้านผู้ดูแลระบบ สามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกของการใช้งานเพื่อดูว่าใครเข้ามาทำงานในออฟฟิศได้ตลอดเวลา

2. องค์กรมี Flexible Working Policy

flexible working policy

สำหรับบางองค์กร การทำงานในรูปแบบ Hybrid  นั้นยังคงต้องมีการกำหนดนโยบายในการเข้ามาทำงานของพนักงานจากผู้บริหารระดับสูง หรือ HR เพื่อให้สามารถติดตามพนักงานได้และเป็นระบบยิ่งขึ้น การกำหนดนโยบายบริษัทที่ใช้กับพนักงานทุกคนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการงานแบบ Hybrid ในระยะยาวหรือสำหรับองค์กรขนาดใหญ่

โดยการกำหนดนโยบาย Flexible Working Policy หลักๆ ควรคำนึงถึง 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ 1) สถานที่ทำงานที่เหมาะสม 2) จำนวนวันที่เข้ามาทำงานในออฟฟิศ ซึ่งต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับลักษณะการทำงานที่ส่งเสริมให้เกิด Productivity ของแต่ละบุคคลหรือแผนกมากที่สุด

ตัวอย่างเช่น บริษัท HubSpot ที่กำหนดนโยบายการทำงานแบบ Hybrid ให้กับพนักงานแต่ละคน แบ่งตามลักษณะงานและความเหมาะสม ซึ่งได้แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบใหญ่ๆ

  • @office คือ ทำงานเฉพาะที่ออฟฟิศอย่างเดียว
  • @flex คือ เป็นการทำงานระยะไกลสลับกับการมาทำงานที่ออฟฟิศ
  • @home คือ การทำงานระยะไกลเป็นส่วนใหญ่

3. การสร้างสำนักงานย่อย (Satellite Office)

ภาพจาก The Spuzz

ในบางองค์กรนั้นจะมีการสร้างออฟฟิศย่อยๆ หรือ Satellite Office กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ กันเพื่อส่งเสริมการการทำงานแบบ Hybrid และเพื่อให้พนักงานสะดวกในการเข้าไปทำงานมากยิ่งขึ้น นอกเหนือจากการทำงานที่บ้านหรือสำนักงานใหญ่

วิธีนี้ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานจากพื้นที่ที่ใกล้กับที่พักได้ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดค่าเดินทาง และระยะเวลาในการเดินทางลง ช่วยให้พนักงานมีประสิทธิภาพในการทำงานมากยิ่งขึ้น

หลายคนคาดการณ์ว่า Satellite Office จะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ มองหาการลดขนาดจากสำนักงานใหญ่ใจกลางเมือง เพื่อช่วยให้พนักงานสามารถมีอิสระในการทำงานจากระยะไกลที่ไม่จำเป็นต้องทำจากที่สำนักงานใหญ่และเป็นการเพิ่มโอกาสทางธุรกิจด้วยเช่นกัน

COVID-19 ตัวเร่งให้เกิด Hybrid Working

ภาพจาก Essex.gov.uk

การแพร่ระบาดของ COVID-19 นั้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการทำงานและสถานที่อย่างกระทันหัน และรวดเร็ว และเป็นตัวกระตุ้นให้องค์กรต้องหันมาปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่ 

จากภาพ Diagram อธิบายไว้ว่าในช่วง Pre-COVID-19 ออฟฟิศจะเป็นสถานที่ทำงานประจำของทุกคน ซึ่งอาจจะมาการทำงานแบบ Remote บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อเข้าสู่ในช่วงการระบาดของโรค (During COVID-19) ขึ้นทุกคนนั้นต้องเปลี่ยนไปทำงานจากที่บ้านแทน (Work from Home)

และในช่วงสุดท้าย คือช่วง Post-COVID-19 นั้นรูปแบบการทำงานนั้นจะเป็นการผสมผสานข้อดีของการทำงานทั้ง 2 แบบเข้าด้วยกัน ซึ่ง Hybrid Working Model นี้จะประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลักๆ นั้นก็คือ

  1. People : ความต้องการของพนักงานต่อการทำงานในรูปแบบใหม่
  2. Place : สถานที่ตั้ง และพื้นที่ภายในออฟฟิศ ไม่ว่าจะเป็นการจัดผังภายในออฟฟิศให้สอดคล้องกับรูปแบบออฟฟิศที่เปลี่ยนไป อย่างเช่น Flexible Workplace หรือการสร้าง Satellite Office เป็นต้น
  3. Technology : เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้องค์กรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น ในการบริหารจัดการพื้นที่ภายในออฟฟิศทั้งหมดได้อย่างเป็นระบบพร้อม Insight Data

โดยปัจจัยในเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยองค์กรในการปรับเปลี่ยน Hybrid Office ให้สมบูรณ์แบบและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประโยชน์ของ Hybrid Working

ภาพจาก Live by Asseco

การทำงานแบบ Hybrid นั้นจะช่วยให้องค์กรได้ประโยชน์มากมาย ในหลากหลายมิติทั้งในด้านของธุรกิจและพนักงาน

  1. Employee Flexibility
    การให้ทางเลือกในการทำงานแก่พนักงาน จะช่วยให้พนักงานมีอิสระ และพึงพอใจในงานได้ เนื่องจากสามารถเลือกพื้นทีที่เหมาะกับการทำงานของแต่ละคนได้อย่างเหมาะสมที่สุด
  1. Attract New Talent
    ดึงดูดพนักงานรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถให้อยากร่วมงานด้วย เนื่องจากสอดคล้องกับพฤติกรรมการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่รักอิสระ และชอบในเทคโนโลยี
  1. Flexible Workplace
    องค์กรสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบออฟฟิศให้เป็นรูปแบบ Flexible Workplace มากยิ่งขึ้น เพื่อส่งเสริมการทำงานในรูปแบบ Hybrid และ Productivity ในการทำงานของพนักงานให้ดียิ่งขึ้น
  1. Pandemic Prevention
    การทำงานแบบ Hybrid Working มีส่วนช่วยป้องกันการแพร่กระจายของ COVID-19 และช่วยให้องค์กรสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ในอนาคตหากเกิดโรคระบาดใหม่ขึ้น
  1. Maximize ROI Cost Saving สามารถลดค่าเช่าพื้นที่ของสำนักงานลงได้ เนื่องจากการทำงานรูปแบบ Hybrid นั้นจะทำให้ในอนาคตพื้นที่ในสำนักงานใหญ่นั้นจะมีขนาดเล็กลง แต่จะมีการเพิ่มสำนักงานย่อยๆ ตามพื้นที่ต่างๆ

เทคโนโลยีส่วนสำคัญในการสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อ Hybrid Working

workplace plus

เมื่อการทำงานแบบ Hybrid Working ไม่ได้ถูกจำกัดเพียงออฟฟิศเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป การบริหารจัดการคนและพื้นที่ในหลายๆแห่งจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมากยิ่งขึ้น หากไม่มีระบบหรือเทคโนโลยีเข้ามาจัดการ

เทคโนโลยีจึงเป็นสิ่งที่หลายองค์กรหันมาให้ความสำคัญและลงทุน เพราะเทคโนโลยีจะช่วยให้การทำงานแบบ Hybrid Working เป็นระบบมากขึ้นผ่านระบบเดียว ลดเวลาในการจัดการของผู้ดูแลหรือแผนกที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นระบบ “Workplace Plus” แพลตฟอร์มที่จะช่วยให้องค์กรบริหารคนและพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์การทำงานแบบ Hybrid Working

โดย Workplace Plus จะประกอบไปด้วยหลากหลายโซลูชัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบจองห้องประชุม ระบบจองโต๊ะส่วนกลาง ระบบ Smart Locker หรือระบบบันทึกผู้มาติดต่อ พร้อมทั้งช่วยให้องค์กรสามารถปรับ Flexible Working Policy ได้ตั้งแต่ระดับแผนก ไปจนถึงรายบุคคลและปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมได้จาก Data ในระบบ และสามารถเชื่อมต่อกับระบบ API และ 3rd Party องค์กรได้ รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆ อีกมากมายที่รองรับและเติมเต็มการทำงานแบบ Hybrid ให้กับแต่ละองค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบ

สรุป

จะเห็นได้ว่าการทำงานแบบ Hybrid Working ทำให้พนักงานมีอิสระในการเลือกสถานที่ทำงานที่เกิด Productivity สูงที่สุด รวมถึงเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ในอนาคตหากมีการหยุดชะงัก เช่น การเกิดโรคระบาดครั้งใหม่ เป็นต้น การทำงานแบบ Hybrid จึงเป็นทางเลือกที่หลายองค์กรกำลังนำมาปรับใช้ ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีอย่างเช่น Workplace Plus มาใช้บริหารจัดการพนักงานและพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Co Desk ระบบริหารพื้นที่ทำงานภายในออฟฟิศของคุณที่ตอบโจทย์ Hybrid Office รูปแบบออฟฟิศสมัยใหม่ในยุค New Normal สร้างเสริม Employees Experience ให้กับพนักงาน

สำหรับองค์กรใดที่สนใจต้องการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ทำงานได้อย่างเป็นระบบ สามารถติดต่อได้ที่ 096-9595-193 หรือ contact@exzy.me สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Co Desk Workplace

“Hybrid Office” คืออะไร? รู้จักนิยามออฟฟิศรูปแบบใหม่ในยุค COVID-19

"Hybrid Office" คืออะไร? ทำความรู้จักนิยามออฟฟิศรูปแบบใหม่ในยุค COVID-19

จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมากในเรื่องของพื้นที่ทำงานภายในออฟฟิศ เช่น การจัดโต๊ะทำงานที่ต้องเว้นระยะห่างมากขึ้น เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของ Social Distancing รวมไปถึงรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปส่งผลทำให้ออฟฟิศกลายมาเป็น “Hybrid Office” มากยิ่งขึ้นในปัจจุบันรวมถึงในอนาคตระยะยาวอีกด้วย 

บทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับ “Hybrid Office” ว่าคืออะไร มีข้อดีอย่างไร และทำไมองค์กรของคุณควรปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบนี้

Hybrid Office คืออะไร?

Hybrid Office คือ รูปแบบออฟฟิศที่พนักงานบางส่วนทำงานจากที่ออฟฟิศ บางส่วนทำงานจากที่บ้านหรือสถานที่อื่นๆ โดยพนักงานมีอิสระในการเลือกเวลาและสถานที่ในการทำงานได้ด้วยตัวเอง โดยขึ้นอยู่กับลักษณะประเภทของงานด้วยเช่นกัน เช่น แผนกบัญชีหรือกฎหมาย อาจจะต้องทำงานจากที่ออฟฟิศแบบ Full-time เพื่อเรียกดูเอกสารมากมาย แต่ในขณะเดียวกัน แผนก Sales & Marketing อาจจะเข้าออฟฟิศเป็นบางเวลา เป็นต้น

COVID-19 และ Hybrid Office

นับตั้งแต่มีการระบาดของโรค COVID-19 เมื่อต้นปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัทต่างๆจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินต่อไปได้ ซึ่งจากการ Lockdown การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและเห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การที่องค์กรให้พนักงานทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) แต่เมื่อข้อจำกัดหลายๆอย่างได้ผ่อนคลายมากขึ้น ปัจจุบันก็เริ่มมีการกลับเข้ามางานที่ออฟฟิศบางส่วน

หากมองในระยะยาว Hybrid Office อาจจะกลายเป็น Next Normal ในอนาคต หลายองค์กรจะมีการพิจารณาและออกนโยบาย Work From Home มากยิ่งขึ้นในปี 2022 เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากการทำงานออฟฟิศและการทำงานจากที่บ้านได้มากที่สุด

3 สิ่งที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้น “Hybrid Office” อย่างถูกต้อง

1. จัดเตรียมนโยบายสำหรับ Hybrid Office

เริ่มต้นร่างนโยบายหรือแนวทางการทำงานในรูปแบบ Hybrid Office เพื่อสื่อสารไปยังพนักงานได้อย่างชัดเจน โดยในนโยบายควรจะประกอบไปด้วยหัวข้อต่างๆเหล่านี้
– กำหนดให้นโยบายให้ชัดเจนว่าใช้กับแผนกใดบ้างที่สามารถทำได้และแผนกใดที่ไม่สามารถทำได้
– กำหนดแนวทางการทำงานให้กับพนักงานชัดเจน อย่างเช่น พนักงานที่ทำงานแบบ Remote Working จำเป็นที่จะต้องเข้าออฟฟิศมากน้อยแค่ไหน นโยบายจำเป็นที่จะต้องกำหนดเป็นรายบุคคลหรือไม่? หรือจะมอบหมายให้หัวหน้าของแต่ละแผนกเป็นผู้จัดการ เวลาในการทำงานของการ Remote Working เริ่มตั้งแต่กี่โมงเป็นต้นไป สิ่งต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้พนักงานเห็นภาพรวมและรู้กฎระเบียบมากยิ่งขึ้น
– จัดเตรียมในเรื่องของอุปกรณ์หรือสิ่งอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของพนักงาน เช่น การ Remote เข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์สามารถนำกลับบ้านได้หรือไม่?  ช่องทางสื่อสาร VDO Conference เป็นต้น

2. ปรับผังพื้นที่ทำงานภายในออฟฟิศ

เมื่อมีพนักงานบางส่วนสามารถทำงานจากที่บ้าน องค์กรสามารถใช้โอกาสนี้ประเมินเรื่องความต้องการของพื้นที่ รวมถึงสามารถปรับลดพื้นที่โต๊ะทำงานประจำลงได้ และสามารถเพิ่มเป็นพื้นที่โต๊ะทำงานส่วนกลาง (Hot Desk) โดยเว้นระยะห่างโต๊ะทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์ในเรื่องของ Social Distancing และรองรับการเข้ามาทำงานออฟฟิศบางวันของพนักงาน
โดยนิยามในออฟฟิศในอนาคตจะเป็นพื้นทื่สำหรับการทำงานร่วมกัน (Collaboration) มากยิ่งขึ้น ดังนั้นองค์กรควรจะพิจารณาว่ามีพื้นที่ที่ตอบโจทย์กับการทำงานของพนักงานเพียงพอแล้วหรือไม่

3. ลงทุนในเรื่องของเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ

การกำหนดนโยบายการทำงานแบบ Hybrid Working พร้อมกับผังที่นั่งให้เป็นโต๊ะส่วนกลางมากยิ่งขึ้นนั้น องค์กรสามารถลงทุนในเรื่องของการนำระบบบริหารพื้นที่ทำงาน (Workplace Management System) อย่างเช่น ระบบ Co Desk ป็นต้น ระบบที่จะช่วยทำให้องค์กรสามารถโต๊ะทำงานส่วนกลางได้อย่างเป็นระบบ พนักงานที่จะเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ สามารถจองโต๊ะทำงานส่วนกลางล่วงหน้าได้อย่างง่ายดายผ่านมือถือ รวมถึงผู้ดูแลระบบสามารถตรวจสอบ 14 วันย้อนหลังได้หากพบผู้ติดเชื้อภายในออฟฟิศ ทำให้การสื่อสารหรือการป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ปลอดภัย รวดเร็วมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆเหล่านี้จะช่วยส่งผลคุ้มค่าให้กับองค์กรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้องค์กรสามารถบริหารพื้นที่ทำงานได้อย่างเป็นระบบ รวมถึงรองรับรูปแบบออฟฟิศหรือการทำงานใหม่ๆในอนาคตอีกด้วย

ประโยชน์ของการทำ Hybrid Office

การปรับออฟฟิศในรูปแบบ Hybrid Office มีประโยชน์มากมายทั้งพนักงานและองค์กร ดังนี้

productivity

1. Productivity สูงขึ้น

การทำงานจากที่บ้านเมื่อมีสิ่งรบกวนจากสถานที่ทำงานน้อยลงส่งผลทำให้สามารถโฟกัสงานได้ดียิ่งขึ้น และสดชื่นจากการพักเบรคมากยิ่งขึ้น

2. ความเครียดลดน้อยลง

จากการทำงานที่บ้านสลับกับการทำงานที่ออฟฟิศในบางเวลา ส่งผลทำให้พนักงานมีความเครียดน้อยลง จากการลดเวลาการเดินทาง ความวุ่นวายจากการจราจร เป็นต้น

3. ประหยัดค่าใช้จ่าย

Hybrid Office ส่งผลทำให้พนักงานสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง รวมถึงองค์กรก็สามารถประหยัดจากค่าใช้จ่ายต่างๆสำหรับพนักงานลงได้

อนาคตของ Hybrid Office

ปัจจุบันในปี 2021 เรายังอยู่ในช่วงการ Transition หรือการเปลี่ยนผ่านจากเดิมที่จะเป็นการทำงานในรูปแบบ “Office-based” กลายมาเป็น “Hybrid Working” มากยิ่งขึ้น เมื่อสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น ตัวเลขผู้ติดเชื้อ COVID-19 เริ่มลดลง หลายองค์กรจะเริ่มมีการปรับตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งในระหว่างนี้หลายองค์กรกำลังอยู่ในช่วงการวางแผน รวมถึงกำหนดนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป รวมถึงสถานที่ทำงานของพนักงานที่ในอนาคตจะไม่ได้มีเพียงแค่ออฟฟิศเพียงแห่งเดียวอีกต่อไป เป้าหมายมุ่งสู่ New Normal ครั้งใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือองค์กร เป็นต้น

Co Desk ระบบริหารพื้นที่ทำงานภายในออฟฟิศของคุณที่ตอบโจทย์ Hybrid Office รูปแบบออฟฟิศสมัยใหม่ในยุค New Normal สำหรับองค์กรใดที่สนใจต้องการนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารพื้นที่ทำงานได้อย่างเป็นระบบ สามารถติดต่อได้ที่ 096-9595-193 หรือ contact@exzy.me สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Co Desk Workplace